วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2559

นิทานน่าฉงนคืออะไร

          นิทานน่าฉงนเป็นการเรียนรู้นิทานจากความสงสัยหรือเรียนรู้ผ่านนิทานอธิบายเหตุ
ความหมายของนิทานอธิบายเหตุ
          นิทานอธิบายเหตุ เป็นเรื่องที่อธิบายถึงกำเนิดหรือความเป็นมาของสิ่งที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ  อาจอธิบายถึงการกำเนิดสัตว์บางชนิด  สาเหตุที่สัตว์บางชนิดมีรูปร่างลักษณะต่าง ๆ กำเนิดของพืช ดวงดาว มนุษยชาติหรือสถาบัน  เรื่องประเภทนี้มักจะสั้นและเล่าอย่างตรงไปตรงมา  เพื่อจะตอบคำถามว่าทำไมสิ่งนั้นจึงเป็นอย่างนั้นนิทานอธิบายเหตุของไทยมีเล่ากันทุกถิ่น  ส่วนมากเป็นนิทานขนาดสั้น  แบ่งตามเรื่องที่อธิบายได้ 4 ลักษณะ คือ
     1. อธิบายที่มาของชื่อ รูปลักษณะและส่วนประกอบของคน สัตว์และพืช เช่น เรื่องเหตุที่ควายไม่มีฟันบน เหตุที่งูเหลือมไม่มีพิษ  เหตุที่กามีสีดำ  เหตุที่เสือตัวลาย เหตุที่นกตะกรุมหัวล้านและลิงตูดด้าน ฯลฯ
     2.  อธิบายเกี่ยวกับปรากฎการณ์ธรรมชาติ เช่น เรื่องดาวลูกไก่   เรื่องจันทคราส ฯลฯ
     3.  อธิบายเกี่ยวกับของพิธีกรรม  ขนบประเพณี  เช่น เหตุที่คนภาคเหนือใช้ผักส้มป่อยในพิธีดำหัว ฯลฯ
     4.   อธิบายที่มาของสิ่งอื่น ๆ เช่น อาหารการกิน หรือข้าวของเครื่องใช้

                 ตัวอย่างนิทานอธิบายที่มาของชื่อ


                 ตัวอย่างนิทานอธิบายเกี่ยวกับปรากฎการณ์ธรรมชาติ



                   ตัวอย่างนิทานอธิบายเกี่ยวกับของพิธีกรรม


         
                    ตัวอย่างนิทานอธิบายที่มาของสิ่งอื่น ๆ


ข้อมูลที่น่าสนใจคลิก

ทำไมกบจึงตาโปน

นิทานอธิบายเหตุ.....ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ดินแดนแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของยักษ์ใจร้ายสองตน ยักษ์ทั้งสองได้ยึดเอาไฟทั้งหมดทั้งมวลที่มีอยู่ในโลกในนี้มาเก็บไว้กับพวกมัน จึงทำให้สิ่งมีชีวิตทั่วทั้งโลกเกิดความวุ่นวายอลหม่านกันไปทั่ว เพราะไม่มีไฟใช้ทั้งในเรื่องของการหุงหาอาหารหรือแม้แต่แสงไฟส่องสว่างในยามค่ำคืน
     จนกระทั่งมีชายหนุ่มผู้กล้าหาญคนหนึ่งเรียกประชุมทั้งคนและสัตว์เพื่อจะหาวิธีไปเอาไฟคืน ชายหนุ่มขออาสาสมัครผู้ที่จะไปร่วมกับเขาในครั้งนี้ และก็มีสัตว์ห้าชนิดอาสาเข้าร่วมเดินทางไปนำไฟคืนมา นั้นคือ ม้า สุนัข แมว สิงโตและกบ เมื่อได้เพื่อนที่จะช่วยเหลือชายหนุ่มก็เริ่มวางแผนทันทีไม่รอช้า ชายหนุ่มจัดวางตำแหน่งให้พวกสัตว์ต่างๆจะคอยประจำอยู่แต่ละจุด โดยเขาสั่งให้เจ้ากบตัวน้อยคอยยืนดักอยู่ ถัดขึ้นมาก็เรียกเจ้าม้าไปยืนเฝ้าไว้ และทิ้งช่วงห่างไปสักระยะหนึ่ง ชายหนุ่มก็ให้เจ้าแมวไปคอยแอบซุ่มอยู่ ถัดจากแมวขึ้นมาก็เป็นสุนัขและจุดสุดท้ายเป็นจุดที่อยู่ใกล้บ้านของยักษ์มากที่สุด ชายหนุ่มก็ยกให้สิงโตซึ่งเป็นสัตว์ที่กล้าแกร่งที่สุดอยู่ตรงจุดนั้น หลังจากสัตว์ทุกตัวอยู่ประจำที่แล้ว ชายหนุ่มก็ไปยังบ้านของยักษ์ในทันที
ทำไมกบจึงตาโปน
ชายหนุ่มขอร้องให้ยักษ์แบ่งไฟให้แต่ยักษ์ไม่ยอม ฝ่ายชายหนุ่มรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้จึงส่งสัญญาณออกไปทางหน้าต่างถึงเจ้าสิงโตที่รอท่าอยู่ ทันทีที่ได้รับสัญญาณ สิงโตก็เริ่มส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดุดัน จากนั้นเจ้าสุนัขก็ส่งเสียงหอนโหยหวนตามมาติดๆ ตามด้วยเสียงของแมว ม้า และกบ สัตว์ทุกตัวต่างพากันส่งเสียงร้องประสานกันดังสนั่นลั่นป่า ทำให้เจ้ายักษ์ถึงกับตกใจสุดขีด พวกมันรีบลุกพรวดออกไปนอกบ้านทันควันเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ทันทีที่เจ้ายักษ์ทั้งสองออกไปแล้วชายหนุ่มก็รีบคว้าคบเพลิงที่ติดไฟอยู่ วิ่งหนีออกมาอย่างไม่รอช้า เมื่อเจ้ายักษ์เห็นเห็นชายหนุ่มขโมยไฟของตนออกไปด้วยมันจึงโกรธมาก มันทั้งสองร้องอาละวาดออกวิ่งไล่ตามชายหนุ่มทันทีเพื่อจะเอาไฟกลับคืน
     ชายหนุ่มผู้กล้าหาญรู้ตัวดีว่าตนนั้นไม่อาจหนียักษ์ใหญ่สองตนได้ทันแน่นอน ชายหนุ่มจึงโยนคบไฟส่งต่อให้สิงโตที่รอท่าอยู่ สิงโตออกวิ่งอย่างรวดเร็วพร้อมกับส่งคบไฟต่อไปยังสุนัข จากสุนัขส่งต่อให้แมวเป็นทอดๆตามลำดับ จนถึงเจ้ากบเมื่อเจ้ากบได้รับคบไฟมาจากม้า มันก็รีบกระโดดสุดกำลังเหยียดตัวพุ่งตรงเข้าไปในหมู่บ้านทันที ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกับเจ้ายักษ์หนุ่งในสองตนนั้นตามมาทันพอดี มันเอื้อมมือคว้าหางของเจ้ากบไว้ได้เต็มมือ
นิทานอธิบายเหตุ
เมื่อเจ้ากบโดนจับหางไว้ได้มันก็ตกใจสุดขีด กลัวมากจนทำให้นัยน์ตาทั้งคู่ของมันถล่นออกมานอกเบ้า ด้วยความกลัวตาย เจ้ากบจึงออกแรงเท่าที่ชีวิตมันพึงจะทำได้
     มันกระโจนเข้าไปกลางลานหมู่บ้านที่พวกมันอาศัยอยู่พร้อมกับคบไฟที่ลุกโชติช่วงแต่ด้วยแรงทั้งหมดที่กบพุ่งออกมานั้นเอง ทำให้หางของมันหลุดติดมือยักษ์ไปด้วย กบจึงต้องสูญเสียหางไปตั้งแต่ครั้งนั้น หลังจากนั้นมาคนทั้งโลกก็มีไฟใช้กันถ้วนหน้า แต่จากเหตุการณ์นี้ เจ้ากบที่น่าสงสารต้องหางด้วนและนัยน์ตาถลนออกมานอกเบ้าตราบเท่าทุกวันนี้

ทำไมเต่าจึงมีกระดอง

.....นานมาแล้วโลกของเรานั้นได้รับการดูแลและปกครองดดยเทพต่างมากมายเทพเจ้าแต่ละองค์ต่างก็มีอำนาจหน้าที่ไปคนละอย่างสัตว์ทุกตัวในสมัยนั้นมีเทพเจ้าจูปีเตอร์เป็นผู้ปกครองดูแลในทุกๆเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ของบรรกาสัตว์ต่างๆทุกเรื่องจะต้องรู้ถึงหูของเทพเจ้าจูปีเตอร์ ผู้ปกครองทั้งสิ้น วันหนึ่งเทพเจ้าจูปีเตอร์จะทรงจัดงานอภิเษกสมรส พระองค์ก็ได้รับสั่งให้สัตว์ทุกตัวเดินทางมาร่วมงาน ซึ่งถือเป็นการแสดงความเคารพต่อเทพเจ้าผู้ปกครอง
 เมื่อถึงวันงาน สัตว์ทุกตัวต่างก็พากันตื่นแต่เช้าตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้าพวกมันทยอยเดินทางมายังสถานที่จัดงานก่อนเวลากันครบทุกตัว  ยกเว้นเสียก็แต่เจ้าเต่าจอมขี้เกียจตัวเดียวเท่านั้น ซึ่งเต่าในสมัยก่อนนั้นมีลักษณะไม่เหมือนเต่าในทุกวันนี้ คือยังไม่คลานเชื่องช้าต้วมเตี้ยมและที่สำคัญบนหลังของมันก็ยังไม่มีกระดองแข็งหุ้มด้วย
    เมื่อเริ่มเวลางาน สัตว์ทุกตัวยกเว้นเจ้าเต่าต่างก็พากันแสดงความยินดี ถวายคำอวยพรและของขวัญให้แก่เทพเจ้าจูปีเตอร์ และเฉลิมฉลองรับประทานอาหารร่วมกัน จนกระทั่งล่วงเลยเวลาผ่านไป จนเกือบจะได้เวลาเลิกงานแล้วนั้น เทพเจ้าจูปีเตอร์ก็ทรงสังเกตเห็นเจ้าเต่ากำลังค่อยๆเดินเข้ามาร่วมงานอย่างไม่ค่อยใส่ใจเท่าที่ควร เทพเจ้าจูปีเตอร์จึงเรียกเจ้าเต่ามาเข้าเฝ้าและสอบถามถึงสาเหตุที่ทำให้มันต้องมางานของพระองค์ช้าอย่างนี้
เจ้าเต่าได้ตอบกลับไปว่า "ข้าจะรีบมาทำไมเล่า อยู่บ้านข้าก็มีความสุขกว่าที่ไหนๆ เป็นกอง บ้านของข้าเป็นบ้านที่สุขสบายมาก จนข้าไม่อยากออกไปไหนเลยแม้แต่วินาทีเดียว หรือแม้แต่ก้าวเดียว"  เมื่อเทพเจ้าจูปีเตอร์ได้ฟังดังนั้นก็นึกโกรธเจ้าเต่าขึ้นมาในทันที จึงตัดออกไปว่า"ถ้าอย่างนั้นก็ดีล่ะ หากเจ้าว่าการอยู่บ้านอันแสนสุขของเจ้านั้นสำคัญกว่าการมางานของข้าแล้วละก็ต่อไปนี้ ข้าจะให้เจ้าได้อยู่กับบ้านของเจ้าตลอดเวลาโดยเจ้าจะต้องแบกรับบ้านอันแสนสุขของเจ้าไว้บนหลังตลอดชีวิต" เมื่อเทพเจ้าจูปีเตอร์ตรัสจบพระองค์ก็ทรงใช้พระหัตถ์วิเศษชี้ไปที่ตัวเต่า ทันใดนั้นบริเวณรอบๆเจ้าเต่าก็เกิดควันขาวพวยพุ่งปิดบังทั่วตัวมันจนมองไม่เห็นและเมื่อควันจางหายไป สัตว์ทุกตัวก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นว่าบนหลังของเจ้าเต่านั้นมีกระดองแข็งๆหนักๆติดทับอยู่
 
เจ้าเต่าตกใจกับสภาพของตัวเองมาก มันทั้งโกรธและอาย เจ้าเต่าเตรียมจะกระโจนหนีไปแต่คราวนี้กลับไม่เหมือนเดิม เพราะแทนที่มันจะพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนที่เคยทำได้มันกลับไปได้อย่างเชื่องช้า เพราะกระดองที่แข็งและหลักบนด้านหลังของมัน มีน้ำหลักมากเกินกว่าที่จะทำให้ตัวมันคล่องแคล่วเหมือนเมื่อก่อน นี่เป็นเพราะความไม่รู้จักเคารพต่อผู้ที่ควรเคารพและความขี้เกียจของมันทำให้นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เต่าจึงมีกระดองแข็งๆ ติดตัวไว้บนหลังจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งทำให้มันเดินได้เชื่องช้าไม่รวดเร็วเหมือนที่เคยเป็นมาก่อน

ทำไมกระต่ายจึงหางสั้น

......ในสมัยโบราณนานมาแล้วบรรดาสัตว์สี่เท้าทั้งหลายที่มีอยู่บนโลกในขณะนั้นยังไม่มีหางกันเลยแม้แต่ตัวเดียวรวมทั้งสิงโตซึ่งเป็นเจ้าป่าด้วยวันหนึ่งสิงโตคิดได้ขึ้นมาว่าน่าจะมีอะไรที่ทำให้มันดูสง่างามมากกว่านี้มันจึงคิดประดิษฐ์ทางขึ้นมาหังหนึ่งแล้วก็นำห่างนั้นมาติดที่ก้นของมัน จากนั้นมันก็เดินไปที่ริมธารเพื่อมองดูเงาตัวเองในน้ำภาพที่มันเห็นทำให้มันรู้สึกว่าการมีหางประดับนั้นช่วยทำให้มันช่างดูสง่างามเสียเหลือเกินแม้ว่าสิงโตเองจะชอบหางของมันมากแต่มันก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีเพียงมันตัวเดียวเท่านั้นที่มีหาง
ซึ่งจะทำให้มันดูไม่เหมือนสัตว์ตัวอื่นๆดังนั้นมันจึงไปหาพวกหมีเพื่อขอให้พวกหมีมาช่วยกันทำหางพวกนี้ทำหางขึ้นมาเยอะมากมีทั้งหางเล็กหางใหญ่ห่างเป็นพวงบ้างหางเรียวๆบ้าง
จากนั้นสิงโตก็นำหางที่ทำเสร็จแล้วไปไว้บนยอดเขาแล้วสั่งให้หมีเป็นผู้ประกาศข่าวเรื่องการแจกจ่ายหางแก่บรรดาสัตว์สี่เท้าทั้งหลายว่าในเช้าวันรุ่งขึ้นให้สัตว์สี่เท้าทั้งหลายขึ้นไปรับหางที่ยอดเขา ครั้นพอรุ่งเช้าพระอาทิตย์ขึ้นที่ขอบฟ้าพวกมันก็พากันขึ้นไปที่ยอดเขาเพื่อไปรับหาง ช้างเป็นสัตว์ชนิดแรกที่ขึ้นไปบนยอดเขามันเดินแกว่งงวงนำหน้าไปก่อนจากนั้นอุดก็เดินหลังโก่งตามไปติดติดหมาป่าและจิ้งจอกเดินไปด้วยกันเสือชนิดต่างๆก็ออกเดินทางพร้อมกันส่วนบรรดาม้าวัวและแพะก็เดินรวมกลุ่มกันไปอีกพวกข่าวเรื่องการแจกหางได้แพร่กระจายไปทั่วดังนั้นสัตว์ต่างๆเกือบทั้งหมดจึงออกเดินตามกันไปเป็นแถวเพื่อไปรับหาง
เวลาเดียวกันลิงตัวหนึ่งได้เดินทางผ่านปากพรมซึ่งเป็นที่อยู่ของกระต่ายและเนื่องจากบ้านของกระต่ายเป็นพงษ์ลึกเข้าไปทำให้กระต่ายไม่รู้ข่าวเรื่องหางที่สิงโตให้ลิงจึงแวะเข้าไปบอกให้กระต่ายรู้กระต่ายก็ตื่นเต้นอยากจะได้หางด้วย เจ้ากระต่ายผู้บอบบางรีบเอาเสื้อคลุมสีขาวที่เหมือนหิมะออกมาใส่คลุมตัวจากนั้นก็ออกมาจากโครงของมันเพื่อเดินทางไปรับหางที่ยอดเขา ขณะที่กระต่ายออกมาจากโพรงได้ไม่กี่ก้าวกระรอกน้อยตัวหนึ่งที่มีบ้านอยู่บนกิ่งไม้เหนือโพรงกระต่ายขึ้นไปออกจากบ้านสายจนกลัวว่าจะไปรับหางไม่ทัน
จึงรีบกระโดดจากต้นไม้ที่มันอยู่ไปยังอีกต้นหนึ่งทำให้น้ำค้างบนต้นไม้ร่วงลงมาโดนกระต่ายที่อยู่ด้านล่างกระต่ายคิดว่าฝนตกจึงรีบถอยลงไปในโพรงแต่อีกใจหนึ่งกระต่ายก็อยากได้ห่างมากเหลือเกินมันไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่ออกมาที่ปลากะพงเฝ้าคอยฉันแล้วมองไปทางโน้นทีทางนี้ทีเพื่อจะวานให้ใครได้ช่วยไปรับหางแทน ขณะนั้นหมาจิ้งจอกตัวหนึ่งเดินผ่านมาพอดีกระต่ายจึงขอร้องให้หมาจิ้งจอกช่วยไปรับหางให้ หมาจิ้งจอกได้ฟังคำขอร้องก็รับปากว่าจะช่วยไปรับหางมาให้แล้วเดินจากไป  แต่กระต่ายไม่ค่อยเชื่อใจจิ้งจอก พอดีมีหมูป่าเดินผ่านมากระต่ายจึงเข้าไปขอร้องให้หมูป่ารับหางมาให้ หมูป่ารู้ว่าตัวเองสายแล้ว ก็รีบรับปากแล้วเดินจากไป
             จากนั้นกระต่ายก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยผ่านไปหลายชั่วโมง มันก็ได้ยินเสียงโห่ร้องไชโยอย่างยินดีจากสัตว์ทั้งหลายดังมาจากยอดเขา แล้วบรรดาสัตว์ต่างๆก็พากันร้องรำทำเพลงสนุกสนานเฮฮาขณะทยอยลงมาจากยอดเขา สัตว์ทุกตัวได้รับหางอันสวยงามมันต่างติดหางอวดกันอย่างมีความสุข
            หลังจากที่ขบานสัตว์เริ่มทยอยกันเดินลงมาแล้ว กระต่ายก็ได้ไปถามเอาหางจากหมาจิ้งจอกและหมูป่า แต่ก็ไม่มีใครเอาหางมาให้กระต่าย กระต่ายจึงเสียใจมาก แล้ววิ่งกลับเข้าไปอยู่ในโพรง
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นที่หน้าโพรงของมัน
กระต่ายจึงออกมาดูก็เห็นหมาและแมวกำลังทะเลาะกันอยู่หมาก็คุยว่าหางของมันสวยกว่าของแมว แมวก็เถียงว่าหางของมันต่างหากที่สวยกว่า การทะเลาโต้เถียงยิ่งรุนแรงขึ้นทุกที จนในที่สุดแมวโกรธจนหางชี้ ส่วนหมาก็แยกเขี้ยวทำหางพองกระโดดเข้าไปกัดปลายหางของแมวจนขาดเป็นท่อนๆท่อนหนึ่งติดปากกันไปด้วยแล้วหมาก็คายหางแมวที่ขาดนั้นลงบนพื้น กระต่ายที่เฝ้าแอบดูอยู่ไม่รอช้ารีบกระโดดเข้าไปคาบเอาหางที่ขาดท่อนนั้น วิ่งกลับเข้าไปในโพรงอย่างรวดเร็ว พอกระต่ายเข้ามาในโพรงแล้วมันก็รีบเอาหางนั้นมาติดที่ก้นทันที นับแต่นั้นเป็นต้นมากระต่ายจึงมีหางสั้นๆมาจนทุกวันนี้.....

ทำไมงูเหลือมจึงไม่มีพิษ

         
...... นานมาแล้วในสมัยก่อนนั้น สัตว์ทที่ไม่มีพิษเลยแม้แต่ชนิดเดียว สัตว์ทุกตัวต่างก็เป็นเพื่อนกันและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน คงมีเพียงแต่งูเหลือมตัวเดียวเท่านั้นที่ต่างไปจากสัตว์อื่นนอกจากมันจะเป็นงูที่ตัวใหญ่อ้วนแล้วมันยังเป็นเพียงสัตว์เพียงตัวเดียวที่มีพิษอยู่ในตัวทำให้มันกลายเป็นสัตว์ที่น่าเกรงขามไม่ว่ามันจะเลื้อยผ่านไปที่แห่งหนไหน สัตว์ทุกตัวก็ต่างพากันหวาดกลัวและหลีกทางให้ๆทำให้เจ้างูเหลือมรู้สึกหยิ่งผยองในตัวเองมันคิดว่าตัวมันเก่งและเป็นเจ้าป่าจึงมักใช้อำนาจที่มีในตัวอย่างผิดๆงูเหลือมชอบเลยไปทุกๆที่ที่มันอยากไปไม่ว่าจะเป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์ตัวไหนก็ตามมันไม่เคยนึกกลัวไม่เคยนึกเกรงใจหรือแสดงความเคารพต่อสัตว์ตัวไหนเลยจึงไม่มีสัตว์ตัวในไปยุ่งกับมัน
 แต่แล้ววันหนึ่งในขณะที่มันกำลังเลยอวดแบ่งอำนาจของมันไปด้วยอย่างที่เคยทำทุกวันระหว่าง พี่มันเล็กไปตามขณะที่ยาวสุดลูกหูลูกตาไปเรื่อยเรื่อย พลันสายตาของมันก็เห็นมนุษย์คนหนึ่งยืนใส่หมวกอยู่กลางทุ่งนามันนึกโมโหขึ้นมาทันทีนี่เจ้าคงอยากลองดีกับข้าสิท่าด้วยความไม่ฉลาดของมันมันจึงเลื้อยตรงไปหาเพราะเข้าใจว่าเป็นคนมายืนท้าทายมันแต่แล้วโชคร้ายของมันเพราะแท้ที่จริงแล้วคนที่มันเห็นนั้นเป็นเพียงหุ่นไล่กาที่ไม่มีชีวิต มันตรงรี่เข้าไปที่หุ่นไล่กายังไม่รอช้าแล้วอาบปากกว้างสุดเท่าที่มันจะทำได้กัดตรงบริเวณขาของขุ่นพร้อมกับปล่อยผิดออกไปทันทีด้วยความโง่เขลางูเหลือมหวังจะให้หุ่นไล่กาที่มันไม่เข้าใจว่าเป็นคนล้มลงและร้องโอดครวญขอชีวิตต่อหน้ามันแต่กลับตรงกันข้ามหุ่นที่ไร้ชีวิตกับยืนนิ่งเฉยอยู่อย่างเดิมไม่ได้เป็นอะไรไปอย่างที่งูเหลือมต้องการซึ่งสร้างความงุนงงแก่งูเหลือมเป็นอย่างมากและทำให้มันรู้สึกเศร้าใจในเวลาต่อมาเพราะว่าทุกครั้งที่มันได้กัดทำร้ายใครและปล่อยพิษออกมาเมื่อไหร่สัตว์ตัวไหนก็ตามไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็มักจะดินแต่ยังทุรนทุรายต่อหน้ามันทุกครั้งแต่ทำไมคราวนี้จะมนุษย์หน้าบึ้งคนนี้จึงยืนเฉยไม่สะทกสะท้านกับผิดที่ร้ายแรงของมันเลยเจ้า
งูเหลือมคิดหาคำตอบให้กับตัวเองว่า"นี่ผิดของข้าคงเสื่อมไปแล้วกระมังเจ้าคนนี้ถึงไม่ตาย"มันเสียใจมากเพราะคิดว่าตัวมันคงจะไร้ซึ่งอำนาจไม่เหมือนก่อนอีกแล้วมันรู้สึกว่านับแต่นี้ต่อไปมันเองก็คงไม่ต่างจากสัตว์ตัวอื่นๆดีไม่ดีมันอาจจะถูกสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่าทำร้ายเข้าสักวันก็เป็นได้เจ้างูเหลือมคิดได้ดังนั้นมันก็ออกเดินทางต่อประกันให้สัตว์ทุกตัวรับรู้อย่างถ้วนหน้าว่านับแต่นี้ต่อไปมันจะกลับตัวเป็นสัตว์ที่ดีและมันจะแจกเพชรที่มีอยู่ในตัวของมันทั้งหมดให้แก่สัตว์ทุกตัวที่ต้องการด้วยมันจะขายผิดทั้งหมดไว้ที่ดันหน้าทำของมันรักษาตัวในต้องการก็ไปเอาได้และด้วยความเสียใจกับความรู้สึกไร้อำนาจเจ้างูเหลือมที่เคยหยิ่งผยองก็พาตัวเองเลยหลบหน้าสัตว์ทุกตัวเค้าไปเก็บตัวจำศีลอยู่ในทำอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เกี่ยวกับผู้เขียน


สวัสดีค่ะ

                 จะบอกกล่าวเล่าความถึงนามก่อน     ขึ้นต้นว่าสิโรธรพ่อมอบให้
          เปิดตำราหาความหมายขยายความไป    แปลตามตัวนั้นไซร้ได้ว่าคอ
เห็นความหมายของชื่อนึกสงสัย           เพราะเหตุใดฉันจึงได้ชื่อนี้หนอ
            มองดูตัวมองดูหน้าดูลำคอ                   ต้องร้องอ๋อถึงบางอ้อคอไม่มี
            ถามถึงนามสกุลเติมเสริมท้าย             พ่อมั่นหมายให้ดังไกลทั่วทุกที่
            พรหมวิริยกุลนั้นจำให้ดี                       คือสิ่งที่คอยชักนำย้ำเตือนใจ
           หนึ่งกันยาสามเจ็ดคือวันเกิด               ถิ่นกำเนิดสารคามลำน้ำใส
           เรียนราชภัฏสารคามนามเกริกไกร       ครุศาสตร์ภาษาไทยที่ใฝ่ปอง